5 อาชีพที่กำลังถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้เราคงเคยได้ยินกันบ่อยครั้งเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากำลังจะเข้ามาทำให้คนตกงาน และส่วนมากเรื่องเหล่านี้จะมาพร้อมกับคำอธิบายถึง “หุ่นยนต์” บ้าง “ปัญญาประดิษฐ์” บ้างเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ เช่น โกดังสินค้าของอาลีบาบาที่ใช้หุ่นยนต์ทำงานแทบทั้งหมด หรือเรื่องของรถยนต์ที่ขับเองได้ที่จะมาแทนคนขับรถแท็กซี่ หรือแม้แต่คลินิครักษาโรคที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) ตรวจวินิจฉัยแทนหมอ
เรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าที่มักทำให้เราคิดถึงหนัง Sci-fi ในโลกอนาคตและรู้สึกว่ามันยังไกลตัวคนไทยอย่างพวกเรามาก การเปลี่ยนแปลงนอุตสาหกรรมระดับใหญ่อย่างเรื่องการขนส่ง Logistics หรือเรื่อง Healthcare นี้อาจยังมาไม่เกิดขึ้นเร็วนัก แต่ก็อย่าชะล่าใจนะครับ เพราะในอุตสาหกรรมหรือตลาดที่เล็กลงมา ความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีนั้นอาจเข้ามาด้วยความรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน ผมขอยกตัวอย่าง 4 สายงานที่กำลังถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีครับ
1. Medical Assistant ผู้ช่วยแพทย์
ผู้ช่วยแพทย์ในสหรัฐอเมริกานั้นมีหน้าที่แตกต่างจากพยาบาลตรงที่หน้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหลังการตรวจวินิจฉัยหรือ post-operation ซึ่งแตกต่างจากพยาบาลที่ดูแลเรื่อง pre-op ตรวจเช็คก่อนวินิจฉัยและช่วยภายในห้องตรวจ
หน้าที่หลักของผู้ช่วยแพทย์คือการบันทึกโน๊ตผลการวินิจฉัยของแพทย์ลงบนเอกสาร (transcription) บันทึกชื่อและปริมาณยาลงบนใบสั่งยา ทำเอกสารส่งต่อคนไข้ และนัดหมายสำหรับการตรวจครั้งต่อไป ที่ผู้ช่วยแพทย์ต้องทำหน้าที่เหล่านี้ก็เพราะเวลาของหมอนั้นมีค่า ต้องใช้ให้มีประสิทธิภาพ ส่วนงานอย่างการพิมพ์บันทึกลงเอกสารนั้นสามารถให้ผู้ช่วยทำแทนได้ (และอย่างที่เรารู้กันว่าถ้าให้คุณหมอเขียนบันทึกด้วยลายมือตัวเองก็คงส่งต่อไปให้ใครได้ยาก!!)
วิธีการทำงานในปัจจุบัน:
- ผู้ช่วยแพทย์ทำการบันทึกเสียงของแพทย์เวลาวินิจฉัยแล้วนำกลับมาฟังพร้อมกับพิมพ์ลงบนเอกสารในคอมพิวเตอร์
- ปัจจุบันส่วนงานเหล่านี้ถูก outsource ไปที่ประเทศอินเดีย ปากีสถาน หรือเวียดนาม โดยแพทย์ใช้ software บันทึกเสียงแล้วส่งไฟล์ไปให้พิมพ์ เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วส่งกลับมา
ถูกทดแทนด้วย: Voice Assistant A.I.
ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพอย่างเช่น Suki A.I. ที่สร้างระบบผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับงานสาย Healthcare โดยตรง ซึ่งนอกจากระบบจะแปลสิ่งที่หมอพูดเป็นตัวอักษรแบบ real time แล้วเจ้าตัวปัญญาประดิษฐ์นี้ยังถูกสอนให้เข้าใจคำศัพท์ทางการแพทย์ทั้งโรคทั่วไปและคำศัพท์เฉพาะในแต่ละสาขา นอกจากนั้นเจ้าตัว A.I. นี้ยังจะเก่งแม่นขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ถูกใช้งาน เมื่อแปลจบแล้วคุณหมอสามารถบอกคำสั่งให้ดำเนินการต่อได้เลย เช่น ให้ส่งไปห้องยา ให้สร้างนัด หรือให้แจ้งเตือนคนไข้ผ่านอีเมล์ในอีก 3 วัน เรียกได้ว่าสามารถทดแทนหน้าที่ของผู้ช่วยแพทย์แทบจะ 100%
สถานะ: Early Stage – อยู่ระหว่างการพัฒนาและเริ่มทดลองใช้แล้วในบางโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา
2. Receptionist – พนักงานต้อนรับ / เจ้าหน้าที่บูทประชาสัมพันธ์
เวลาที่เราไปติดต่อธุระที่สำนักงานเรามักจะได้เจอกับพนักงานต้อนรับเป็นหน้าด่าน โดยพนักงานเหล่านี้นอกจากจะเป็นหน้าตาของบริษัทแล้วก็มี หน้าที่อื่นๆ เช่น รับเรื่องจากผู้มาติดต่อ แจ้งคนในบริษัทที่เกี่ยวข้อง แลกบัตร ประทับตราจอดรถ รับโทรศัพท์และโอนสายไปยังแต่ละแผนก
เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมหลายบริษัทใน Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกา และก็ได้พบว่าบริษัทเหล่านี้ “ไม่มี” พนักงานต้อนรับอีกแล้วครับ แต่ผู้มาติดต่อสามารถทำเรื่องที่ผมว่ามาทั้งหมดข้างบนได้เองผ่าน App บน Ipad เพียงเครื่องเดียว
เริ่มจากเมื่อเข้ามาติดต่อก็บันทึกข้อมูลของตัวเอง ระบุแผนกที่ต้องการติดต่อ
นอกจากนั้นยังมีให้อ่านข้อกำหนดการไม่เปิดเผยความลับ ( กรณีที่เป็น Lab หรือ R&D ) จากนั้นตัวกล้องจะให้เราถ่ายรูปเหมือนถ่ายบัตรพาสปอร์ต ระหว่างนั้นตัว App จะทำการแจ้งไปยังผู้ที่เรามาติดต่อผ่านโทรศัพท์ภายในหรือ Chat application (Slack, Skype, WhatsApp, Facebook Messenger, Email และอื่นๆ ตามแต่จะตั้งค่า) เพื่อให้ออกมารับ
หลังจากนั้นเมื่อกลับไปแล้วเจ้าตัว App นี้ยังส่งอีเมล์บันทึกการเข้ามาติดต่อพร้อมกับรูปไปให้อีเมล์ของเราอีกด้วย (แนวๆ ว่ามีบันทึกไว้แล้วนะว่ามาทำอะไร) ในปัจจุบันนี้มีแล้วหลายบริษัทที่ทำ Application สำหรับตลาดนี้ รวมทั้งยังมี plug-in อื่นๆให้เลือกใช้อีกด้วยเช่น เชื่อมต่อกับเครื่องปรินเตอร์เพื่อพิมพ์บัตรคิว ต่อกับ QR Code reader หรือเครื่องอ่านบาร์โคดเพื่อแสกนบัตรจอดรถประทับตรา ต่อกับคู่สายโทรศัพท์เพื่อโอนสายและเปิดให้พูดคุยกับคนภายในได้ และอื่นๆ อีกมากมายเรียกได้ว่า Ipad เครื่องเดียวทำหน้าที่แทนพนักงานต้อนรับได้แทบจะทั้งหมดครับ
วิธีการทำงานในปัจจุบัน:
- พนักงานต้อนรับ แลกบัตรและบันทึกผู้มาติดต่อ
ถูกทดแทนด้วย: Application บน Ipad (เช่น https://thereceptionist.com)
สถานะ: Launched – เข้าสู่ตลาดแล้วและกำลังขยายตัว
3. Barista
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ผมมาอเมริกาเที่ยวนี้มีหุ่นยนต์มาชงกาแฟให้!
CAFEX – Robotic Coffee Bars คือสตาร์ทอัพที่เปิดร้านกาแฟที่ทั้งร้านไม่มีมนุษย์ทำงานเลยสักคนครับ เป็นหุ่นยนต์และ self service ทั้งหมดตั้งแต่รับออเดอร์สั่งกาแฟ ชงกาแฟ เสิร์ฟ หยิบขนมเริ่มต้นจากเลือกเม็ดกาแฟและสั่งออเดอร์ก่อน
จากนั้นเจ้าหุ่นยนต์จะทำการชงกาแฟให้เรา
ซึ่งนอกจากชงกาแฟแบบปกติแล้วเรายังสามารถเปิด account และบันทึกความชอบส่วนตัวผ่าน App บนมึือถือได้ด้วยเพื่อครั้งต่อไปจะได้ชงได้ถูกปากเรามากขึ้น
คอกาแฟหลายท่านอาจบอกว่านี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่มีวางขายอยู่ทั่วไปรึเปล่า ประเด็นคือในรุ่นที่กำลังจะออกมาใหม่นั้นเจ้า Robotic Arms นี้จะสามารถดริปกาแฟได้ด้วย!!
วิธีการทำงานในปัจจุบัน:
- เปิดร้านกาแฟ มี Barista และพนักงานบริการ
ถูกทดแทนด้วย: Robotic Arms และ Application
สถานะ: Launched – เข้าสู่ตลาดแล้วและกำลังขยายตัว
4. Hotel Front Desk
ในโรงแรมที่เน้นลูกค้ากลุ่มธุรกิจหรือเป็น low-cost hotel นั้นเราจะได้เห็นว่านอกจากพนักงานทำความสะอาดแล้วทั้งโรงแรมอาจมีพนักงานต้อนรับเพียงคนเดียวเพื่อต้อนรับและทำการ check-in ให้กุญแจกับลูกค้าผู้มาพัก แต่โรงแรมที่ผมได้มาพักในครั้งนี้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการที่ไม่ต้องใช้พนักงานต้อนรับเลยสักคน
ซึ่งวิธีการก็เป็นการเดียวกับการ check-in ที่สนามบินเลยครับ คือลูกค้าทำการ check-in ที่ Kiosk ด้วยตนเอง โดยเมื่อจองโรงแรมแล้วทางโรงแรมจะส่ง code สำหรับ check in มาให้ทางอีเมล์ เมื่อเรากรอกข้อมูลและ code นี้ที่ kiosk แล้ว ระบบจะถามหา credit card เพื่อประกัน และเมื่อ check-in เสร็จแล้วก็จะมี room key card พร้อมรหัส wifi ปรินท์ออกมาให้เสร็จ
หรือถ้าจะ Advance ไปอีกขั้นคือลง App บนมือถือแล้วไม่ต้องใช้ key card สำหรับเข้าห้องเพียงแค่แตะมือถือกับกลอนประตูเท่านั้นก็สามารถเข้าห้องได้เลย ลดค่าใช้จ่ายลงไปอีก
ส่วนในเคสฉุกเฉินสามารถกดเรียกขอความช่วยเหลือได้ จะมีเจ้าหน้าที่มาหาที่ lobby หรือหน้าห้องเพียงแต่เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องประจำอยู่ Front desk ตลอดเวลา และคนเดียวสามารถดูแลได้หลายโรงแรม
วิธีการทำงานในปัจจุบัน:
- พนักงาน Front Desk โรงแรมทำหน้าที่ check-in ตรวจเอกสารและออก key card ให้แขกผู้มาเข้าพัก
ถูกทดแทนด้วย: Self-Checkin Kiosk
สถานะ: Launched – เข้าสู่ตลาดแล้วและกำลังขยายตัว
5. Cashier
คงขาดไม่ได้ที่จะพูดถึง Amazon GO ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่มี cashier ไม่มีจุด Checkout!! หนึ่งในโปรเจ็คของ Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งโลก e-commerce ที่หันมารุกตลาดด้วย O2O Marketing เพื่อ customer experience ที่ดีขึ้น
ขั้นตอนคือเราดาวน์โหลด App มือถือมาก่อนจากนั้นไปถึงซุปเปอร์ทำการสแกน App ก่อนเข้าเลือกซื้อ จากนั้นก็เดินซื้อเลือกของแล้วออกจากร้านได้เลย เมื่อเราเดินผ่านเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับสัญญาณว่าเราซื้ออะไรบ้างและทำการสรุปค่าสินค้าไปยัง account ของเราที่ผูกไว้
วิธีการทำงานในปัจจุบัน:
- พนักงาน Cashier ตรวจแสกนสินค้าก่อนออกจากซุปเปอร์ รับและทอนเงินค่าสินค้า ใส่ถุง
ถูกทดแทนด้วย: A.I., Sensor, Computer Vision, Mobile Application, Self-service
สถานะ: Launched – เข้าสู่ตลาดแล้วและกำลังขยายตัว
บ่อยครั้งที่เทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นช้ากว่าที่เราคิดไว้ แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวในชั่วข้ามคืน ในขณะที่เรากังวลและตั้งคำถามว่าแล้วงานของเราจะโดนทดแทนด้วยเทคโนโลยีนั้นหรือไม่? เราก็มีอยู่ 2 ทางเลือก เลือกที่ว่าจะไม่ทำอะไรเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงแล้วปรับตัวไปกับมัน หรือ ตื่นตัวเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอเพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาเพิ่มคุณค่าให้เราทำงานได้ดีขึ้น
“ความเปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราหนีมันไม่ได้
แต่เราสามารถอยู่เหนือมันได้ครับ”
“แล้วสำหรับเภสัชกรและผู้ประกอบการร้านขายยาล่ะ จะเป็นยังไง? “
สามารถติดตามได้ในหัวข้อ “A.I. in Pharmacy – Are we ready?” ในงาน Thailand Pharmacy Summit 2019 – Pharmacy In the Age of Disruption ที่กำลังจะมาถึงในเดือนกรกฏาคมนี้นะครับ 🙂
นอกจากเรื่องผลกระทบจากเทคโนโลยีแล้วในงานยังมีหัวข้อที่น่าสนใจอีกมากมายเช่น
“โอกาสและทางรอดของร้านขายยาในยุคของความเปลี่ยนแปลง”
“O2O Marketing for Pharmacy – เปลี่ยนลูกค้าจากออนไลน์เป็นการขายหน้าร้าน”
“Pharma-Secret ร่วมแชร์กลยุทธ์และเทคนิคในการเพิ่มยอดขาย ดูแลลูกค้า โดยเพื่อนๆ ผู้ประกอบการร้านยาชั้นนำในวงการ”
บัตรราคา 750 บาท สำหรับ Early Bird ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน ราคาเพียง 550 บาทเท่านั้น
ลงทะเบียนสำรองที่นั่งคลิกที่นี่ >> https://bit.ly/arincare2019