รักษาเชื้อราในช่องคลอด อย่าปล่อยไว้ไม่รักษา!
ปัญหาเชื้อราในช่องคลอด เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความรำคาญใจ และกังวลใจให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมาก เพราะอาจมีอาการคันในช่องคลอด หรือมีอาการตกขาวมากผิดปกติ และบางทีตกขาวนั้นอาจมีกลิ่น ไปจนถึงอาการปัสสาวะแสบขัด ปากช่องคลอดบวม แดงได้
เชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการนั้น คือ กลุ่มเชื้อราประเภท แคนดิดา (candida albica) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดตกขาวที่มีลักษณะเป็นก้อนสีขาวข้น หรือสีเหลืองขาวคล้ายนมบูด และมีกลิ่น
สาเหตุของการติดเชื้อราในช่องคลอดนั้นมีได้หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น
- ภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดจากการเครียด อดนอน
- มีการใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันนานๆ
- ไม่รักษาความสะอาดเพียงพอ
- ใส่เสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป
- เสื้อผ้าอับชื้น
- ชั้นในติดเชื้อรา
- ใส่แผ่นอนามัยนานๆ
- อาจเกิดจากการทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากๆ
- เป็นโรคอ้วน
วิธีการรักษา
หากอาการไม่รุนแรงมาก เช่น ไม่แสบ ไม่คัน ไม่ตกขาวมากผิดปกติหรือมีกลิ่นแรง อาจไม่ต้องรักษาด้วยยาก็ได้ เนื่องจากร่างกายจะผลิตตกขาวเพื่อดันเชื้อรานั้นออกไป แต่หากมีอาการผิดปกติมาก
ยาที่ใช้ในการต้านเชื้อราก็มีทั้งรูปแบบ กิน ทา และยาเหน็บช่องคลอด เช่น ยาไมโคโนโซล (miconazole), คลอไตรมาโซล (clotrimazole), ยาไทโอโคนาโซล (Tioconazole) ยาบูโตโคนาโซล (Butoconazole) ยาฟลูโคนาโซล (Fluconazole) และ ยากรดบอริก (Boric acid)
จะใช้ยาชนิดใดดี ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ อาจเริ่มต้นด้วยการเหน็บยา หากไม่หายอาจต้องมีการทานยา แต่เราแนะนำว่าให้ปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์จะดีที่สุดนะคะ และยิ่งหากกลับมาเป็นเรื้อรังหลายครั้ง แนะนำให้ตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุจากสารคัดหลั่งในช่องคลอด เพื่อการรักษาที่ตรงจุดที่สุดค่ะ