ยาและสุขภาพ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับยา การใช้ยา ความงาม และการดูแลสุขภาพ

การเก็บรักษายา วิตามินและอาหารเสริม

http://vitaminsandhealthsupplements.com/2439/many-vitamin-c-supplements-high-quality-but-wide-price-differences/ ผลิตภัณฑ์วิตามิน และแร่ธาตุเสริมอาหาร ควรเก็บรักษาในที่แห้ง และมืดห่างไกลจากแสงแดด บรรจุในภาชนะที่ทึบและปิดมิดชิด ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น นอกเสียจากว่าคุณอยู่ในสภาพภูมิอากาศแบบทะเลทราย เพื่อป้องกันความชื้น ให้ใส่ข้าว 5–10 เมล็ดลงไปในก้นกระปุกวิตามิน ข้าวจะดูดซับความชื้นตามธรรมชาติได้ วิตามินที่เก็บในที่เย็น พ้นจากแสง และปิดไว้อย่างดี จะมีประสิทธิภาพคงอยู่ได้ 2–3 ปี แต่เพื่อรับประกันความสดใหม่คุณควรเลือกซื้อยี่ห้อที่ระบุวันหมดอายุไว้ในฉลาก และเมื่อคุณเปิดกระปุกแล้วจะมีประสิทธิภาพคงอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน

วิตามินสังเคราะห์ vs วิตามินจากธรรมชาติ

https://healingautismandadhd.files.wordpress.com/2010/03/vitamins-pile.jpg เมื่อมีคนถามว่า วิตามินสังเคราะห์และวิตามินธรรมชาติมีข้อแตกต่างกันไหม คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับเรา ถึงแม้ว่าวิตามิน และแร่ธาตุสังเคราะห์จะให้ผลดีเช่นเดียวกับวิตามินธรรมชาติ แต่ประโยชน์ที่หลากหลายจากวิตามินธรรมชาตินั้นเหนือกว่า โครงสร้างทางเคมีของวิตามินทั้ง 2 ประเภทอาจจะเหมือนกัน แต่วิตามินธรรมชาติให้อะไรกับเราได้มากกว่า เพราะมีสารตัวอื่น ๆ รวมอยู่ด้วยมากกว่า http://vitamins.lovetoknow.com/How_Much_Vitamin_C_Is_in_an_Orange วิตามินซีสังเคราะห์มีเพียงกรดแอสคอร์บิกเท่านั้น แต่วิตามินซีธรรมชาติมีไบโอฟลาโวนอยด์ ซีคอมเพล็กซ์ทั้งกลุ่ม จึงส่งผลให้วิตามินซีทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า http://drwillard.com/blog/2015/01/the-basics-of-vitamin-e/ วิตามินอีธรรมชาติมีโทโคฟีรอลทุกชนิด ทั้งอัลฟา เบต้า แกมมา และเดลตา จึงมีประสิทธิภาพและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าวิตามินสังเคราะห์ที่มีเพียงดีแอล-แอลฟาโทโคฟีรอล http://www.feminiya.com/11-tips-for-hungry-pregnant-moms-dos-and-donts/...

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ “น้ำ” (Water) ต่อร่างกายมนุษย์

http://www.mtlblog.com/2015/09/8-unexpected-reasons-to-drink-more-water/ ข้อเท็จจริง ของน้ำ ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ น้ำเป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดของเรา 1 ใน 2 ถึง 4 ใน 5 ส่วนของน้ำหนักตัวของเราคือน้ำ มนุษย์สามารถอยู่ได้เป็นสัปดาห์หากปราศจากอาหาร แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่วันหากปราศจากน้ำ น้ำเป็นตัวละลายหลักอาหารที่ผ่านกระบวนการย่อย น้ำช่วยความคุมอุณหภูมิในร่างกาย มีส่วนสำคัญในการขับถ่ายของเสีย ไม่มีปริมาณที่เฉพาะเจาะจงให้ดื่มในแต่ละวัน เนื่องจากการสูญเสียน้ำของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามภูมิอากาศ สถานการณ์ และสภาพร่างกาย แต่โดยทั่วไปแล้ว การดื่มน้ำ 6–8 แก้วถือว่าดีต่อสุขภาพ แนะนำน้ำที่ผ่านการกรองแล้ววันละ 8–10...

คำแนะนำ และข้อควรระวัง เกี่ยวกับ “น้ำ” (Water)

http://www.nutritionsecrets.com/health-benefits-of-water/ คำแนะนำ แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 8–10 แก้ว พยายามดื่มในช่วงครึ่งชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร โดยเฉพาะผู้ที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก หากคุณมีไข้พยายามดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ และเพื่อช่วยในการขับของเสียออกจากระบบต่าง ๆ ในร่างกายคุณ ดื่มน้ำตามมาก ๆ เมื่อกินยาที่ระคายเคืองกระเพาะอย่างแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาปฏิชีวนะ จะลดอาการระคายเคืองกระเพาะได้ กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักทำให้ร่างกายขาดน้ำ และไม่ควรนับรวมเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นปริมาณน้ำที่คุณดื่มในแต่ละวัน นมเป็นอาหาร และไม่ควรดื่มนมทดแทนการดื่มน้ำเปล่าได้ http://www.gea.com/global/en/applications/utilities/environment/water_treatment_potable-water-treatment.jsp อย่าดื่มน้ำจากก๊อกน้ำร้อน เพราะน้ำร้อนละลายสารตะกั่วจากท่อออกมาได้มากกว่าน้ำเย็น และในยามเช้า ควรปล่อยให้น้ำไหลทิ้งสักสองสามนาทีก่อนที่จะใช้...

“คีเลชัน” (Chelation) คืออะไร

http://www.consented.co.uk/read/are-vitamin-supplements-making-us-healthier-or-are-we-pissing-our-money-away/ คีเลชัน (Chelation) เป็นกระบวนการที่แร่ธาตุถูกเปลี่ยนให้เป็นรูปที่ย่อย และดูดซึมได้ อาหารเสริมแร่ธาตุมักไม่ได้ผ่านกระบวนการคีเลชัน จึงต้องถูกกระบวนการย่อยเปลี่ยนให้เป็นรูปที่ย่อยและดูดซึมได้เสียก่อน ร่างกายจึงนำไปใช้งานได้ แต่สำหรับหลายคน กระบวนการคีเลชันตามธรรมชาติเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ส่งผลให้แร่ธาตุจำนวนมากที่รับประทานเข้าไปถูกใช้ได้จริงเพียงบางส่วนเท่านั้น เมื่อเราได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงว่าร่างกายไม่สามารถใช้งานสารอาหารได้ทุกชนิดที่รับประทานเข้าไป คนส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธาตุเหล็กที่เรารับประทานเข้าไปได้ถูกดูดซึมไปใช้จริง ๆ เพียงร้อยละ 2–10 เท่านั้น และจากส่วนน้อยที่ถูกดูดซึมเข้าไปนั้น ครึ่งหนึ่งจะถูกขับออกจากร่างกาย คงเข้าใจกันมากขึ้นว่า การรับประทานแร่ธาตุที่ผ่านกระบวนการคีเลชันแล้วนั้นสำคัญเพียงใด แร่ธาตุที่ผ่านกระบวนการคีเลชันโดยการจับเข้ากับกรดแอมิโน จะถูกดูดซึมได้ดีกว่าแบบไม่ผ่านการคีเลชัน 3–10 เท่า

วิตามินแบบแตกตัวช้า คืออะไร และดีอย่างไร?

https://smartypantsvitamins.com/natural-vitamins-vs-synthetic-vitamins-part-1-vitamin-a/ ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของวงการวิตามิน คือ การค้นพบวิธีการผลิตวิตามินแบบแตกตัวช้า ซึ่งทำได้โดยการบรรจุวิตามินเป็นเม็ดกลมขนาดจิ๋วมากมาย จากนั้นก็นำไปรวมเข้ากับสารประกอบชนิดพิเศษที่ออกแบบมาให้ค่อย ๆ แตกตัว เพื่อให้การดูดซึมเข้าสู่ร่างกายใช้เวลา 3–6 ชั่วโมง วิตามินส่วนใหญ่เป็นชนิดละลายน้ำและไม่สามารถเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ หากไม่มีเทคโนโลยีการทำให้แตกตัวช้า มันจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว และไม่ว่าจะรับประทานปริมาณมากเพียงใด ก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะในเวลา 2–3 ชั่วโมง http://www.mybeautygym.com/are-you-taking-too-many-vitamins/ วิตามินอาหารเสริมในแบบแตกตัวช้าให้ประสิทธิผลที่ดีขึ้น ลดการสูญเสียจากการถูกขับออก และช่วยรักษาระดับของวิตามินในเลือดให้คงที่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน (อ่านฉลากเพื่อให้ทราบลักษณะการแตกตัว เพราะวิตามินที่ระบุว่าแตกตัวช้าบางตัวอาจแตกตัวในเวลา 2 ชั่วโมง หรือเร็วกว่านั้น จึงไม่ได้ให้ผลที่ดีกว่าวิตามินแบบปกติซึ่งราคาต่ำกว่ามาก)

รับประทานวิตามินเสริมอาหารอย่างไร และเมื่อไหร่จึงเหมาะสม

http://www.organicauthority.com/do-vitamins-expire-the-truth-about-your-supplements/ ร่างกายมนุษย์ทำงานเป็นวัฏจักรตลอด 24 ชั่วโมง เซลล์ของคุณไม่ได้นอนหลับไปด้วยในขณะที่คุณหลับ และเซลล์ก็ไม่สามารถมีชีวิตได้หากปราศจากออกซิเจน และสารหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลดีกับร่างกายที่สุด แนะนำให้แบ่งวิตามินเสริมอาหารของคุณเป็นมื้อ ๆ รับประทานตลอดทั้งวัน http://www.sbs.com.au/food/article/2014/05/09/eat-well-four-myths-about-vitamin-supplements ช่วงเวลาหลักในการรับประทานวิตามิน คือ พร้อมมื้ออาหารหรือหลังอาหาร เนื่องจากวิตามินเป็นสารอินทรีย์ จึงควรรับประทานพร้อมอาหารและแร่ธาตุอื่นเพื่อการดูดซึมที่ดีที่สุด และเนื่องจากวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ โดยเฉพาะวิตามินบีรวมและซี จะถูกขับออกทางปัสสาวะอย่างรวดเร็ว หากคุณสามารถรับประทานพร้อมอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็นได้ จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีวิตามินในระดับสูงตลอดทั้งวัน แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะรับประทานหลังอาหารทุกมื้อ อาจรับประทานครึ่งหนึ่งหลังอาหารเช้า และอีกครึ่งหนึ่งหลังอาหารเย็นแทนก็ได้...

โปรตีนจากถั่วเหลืองดีกว่าเนื้อสัตว์อย่างไร?

http://agriculturewire.com/soybean-futures-edge-higher-on-lower-production/ ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ชอบรับประทานถั่วเหลือง เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานอาหารที่มีถั่วเหลืองอย่างยิ่ง และเก็บเกี่ยวประโยชน์ที่ช่วยต่ออายุให้ยืนยาว อีกทั้งชาวญี่ปุ่นยังมีอัตราการตายจากมะเร็งและโรคหัวใจต่ำกว่าชาวอเมริกันมาก ในปัจจุบันนักวิจัยเชื่อว่าการรับประทานอาหารที่ทำมากจากถั่วเหลืองเพิ่มเพียงแค่ 2 ออนซ์ในอาหารแต่ละวัน จะเป็นดั่งเกราะที่คุ้มกันโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://ohmyveggies.com/recipe-baked-barbecue-tofu-tofu-for-tofu-haters/ ถั่วเหลืองมีเส้นใยอาหาร และไฟโตเอสโทรเจนสูง โดยเฉพาะไอโซฟลาโวนที่สำคัญสองตัวคือ เจนิสทีน และเดดซีน ทั้งยังเป็นหนึ่งในอาหารจากพืชไม่กี่ชนิดที่มีโปรตีนครบสมบูรณ์ โดยมีสัดส่วนของกรดแอมิโนที่สำคัญแปดชนิดอย่างสมดุล American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า “โปรตีนจากถั่วเหลืองสามารถเป็นแหล่งโปรตีนเพียงอย่างเดียวของมนุษย์ได้” เช่นเดียวกับโปรตีนจากพืชอื่น ๆ...

6 ข้อดีของถั่วเหลืองที่มีต่อสุขภาพ

http://www.malayalamlive.co/natural-ways-to-reduce-cholestrol/ สารต้านอนุมูลอิสระในถั่วเหลืองอาจช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิดรวมไปถึงป้องกันการแก่ชราก่อนวัยอันควรด้วย อาจช่วยชะลอ หรือป้องกันการเสื่อมของไตในผู้ที่ไตทำงานบกพร่อง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูก และป้องกันภาวะกระดูกพรุน ช่วยลดความดันโลหิตในหญิงวัยหมดประจำเดือน อาจบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในวัยทองได้ http://agriculturewire.com/soybean-futures-edge-higher-on-lower-production/

อาหาร และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ทางเลือกในการบริโภค?

http://proseeds.ca/top-3-reasons-consumers-love-soybean-products/ เมล็ดถั่วเหลือง มีทั้งแบบทอดกรอบ และแบบอบแห้ง มักมีการเติมเกลือหรือปรุงรสเพิ่ม จัดเป็นแหล่งของโปรตีน เส้นใยอาหาร และไอโซฟลาโวนที่ยอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรลืมว่าเมล็ดถั่วเหลืองก็ไม่ต่างจากถั่วอื่น ๆ ที่มีไขมันสูงและแคลอรีสูง http://farmfutures.com/story-weekly-soybean-review-0-30767 ถั่วเพาะงอก เกิดจากเมล็ดถั่วเหลืองที่ถูกนำมาเพาะเป็นเวลาประมาณ 6 วัน เป็นแหล่งของโปรตีน และเส้นใยอาหารที่ดี สามารถเติมลงในอาหารจานผักได้ง่าย http://www.everydayjuicer.com/soybean-sprouts/ ถั่งเหลืองฝักอ่อน และยอดอ่อนสด เป็นฝัก หรือต้นอ่อนของถั่วเหลืองต่างจากถั่วเหลืองเมล็ดแห้ง คือ นำมารับประทานตั้งแต่เป็นต้นอ่อนโดยการนึ่งอย่างเดียวกับผักสด เป็นแหล่งโปรตีน เส้นใยอาหาร และไอโซฟลาโวนที่ดี อาหารว่างซึ่งเป็นที่นิยมของญี่ปุ่นนั้นเอง...